ตอนที่ ๑๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทตามพระอภัยมณี
สินสมุทพาศรีสุววรรณมาบนเรือแล้วก็ไปบอกนางสุวรรณมาลีแล้วพานางมาพบพระเจ้าอา
ศรีสุวรรณก็ให้การต้อนรับในฐานะที่เป็นพี่สะใภ้ ทั้งสองได้สนทนากัน
พระยิ้มพลางทางเพลินเห็นเมินพักตร์ ชำเลืองลักแลชม้ายสายสมร
ทั้งคมขำสำอางอย่างกินนร เสลี่ยมงอนงามพร้อมไม่ผอมพี
ดูเหมือนสาวราวกับยี่สิบถ้วน ทั้งน้ำนวลผิวผ่องเป็นสองสี
แต่ลูกยาอายุได้แปดปี นางจะมีลูกเต้าแต่อย่างไร
รำจวนจิตพิศดูเป็นครู่พัก แล้วกลับหักหวงห้ามความสงสัย
ถึงอ่อนแก่แต่เป็นที่พี่สะใภ้ เราเป็นน้องต้องไหว้เป็นไรมี
ศรีสุวรรณเชิญนางเข้าเมืองรมจักร
แล้วบอกว่าหลังจากนั้นก็จะออกติดตามพระพี่ยา ถ้าหาไม่พบก็จะไม่กลับวัง
นางสุวรรณมาลีเห็นว่าไม่สมควรที่จะปฏิเสธ จึงตรัสตอบขอบคุณ แล้วลงไปที่พัก
วันรุ่งขึ้นทั้งหมดก็พากัน ลงเรือพระที่นั่งเข้าเมือง
สามพระองค์ลงร่วมเรือพระที่นั่ง ทหารตั้งโห่ลั่นสนั่นเสียง
ประโคมฆ้องกลองแตรแซ่สำเนียง ออกรายเรียงซ้ายขวาเป็นตาริ้ว
ขึ้นร่องทางกางใบขึ้นใส่เสา เวลาเช้าลมเรื่อยเฉือบเฉือยฉิว
ทั้งกองนำลำทรงใส่ธงปลิว เป็นแถวทิวเถือกมาในสาคร
ตะวันคล้อยหน่อยหนึ่งถึงปากน้ำ ต้องเรียงลำเรือแห่แซ่สลอน
สำเนียงโห่โยธาพลากร ใกล้นครคนตื่นเสียงครื้นครึก
ฯลฯ
พวกชาวเมืองเห็นบรรดาแขกฝรั่งมากันคับคั่ง
ก็คิดว่าเป็นข้าศึกก็พากันหนีเป็นอลหม่าน
ท้าวทศวงศ์ได้ยินฆาตกลองศึก
ก็ตกพระทัยจึงปรึกษาข้าเฝ้าแล้วให้เสนาในใหญ่น้อย ไปคอยรับนายทัพบอกว่า
พรุ่งนี้เช้าจะไปถวายเมืองกับเครื่องยศ ตัวพระองค์กับมเหสีและลูกหลาน
จะออกป่าไปบรรพชาเป็นดาบส บรรดาเสนาก็ทูลว่า ถ้าพระองค์ทรงผนวชก็จะบวชตามไป
แล้วถวายบังคลลงมาแพ
แลเห็นลำกำปั่นให้ครั่นคร้าม แต่ล้วนสามเสาสล้างมากลางกระแส
ชุมนุมนั่งตั้งหน้านัยน์ตาแล จนเรือแห่แซ่มาถึงหน้าวัง
พอลำทรงตรงประทับกับฉนวน พร้อมกระบวนโยธาทั้งหน้าหลัง
สามพระองค์ลงจากเรือบัลลังก์ แล้วหยุดยั้งตำหนักท่าชลาลัย
บรรดาขุนนางหมอบเฝ้าอยู่เห็นเจ้านายก็เข้าไปเฝ้า
จอมกษัตริย์ได้ตรัสถามความนคร บรรดาเสวกาก็ทูลแถลงให้ทรงทราบ
เสวกาอาดูรทูลแถลง ทุกเขตแขวงเศร้าหมองไม่ผ่องใส
เสนามาตย์ราษฎรร้อนฤทัย เหมือนอยู่ในกลางเพลิงเชิงตะกอน
พระปิตุรงค์มาตุรงค์ทรงกำสรด ทุกข์ระทดทั้งพิภพสยบสยอน
แม้นข้าศึกฮีกหาญมาราญรอน จะโอนอ่อนเอาใจเป็นไมตรี
อันไพร่ฟ้าข้าเฝ้เหล่าทหาร ต่างคิดการแต่จะอพยพหนี
เดชะบุญทูลกระหม่อมจอมโมลี ได้กลับมาธานีที่ดีใจ
ฯ
จอมกษัตริย์จึงตรัสเล่าตั้งแต่เข้ารบจนพบนัดดา แล้วให้เรียกวอช่อฟ้า
มาเชิญพระพี่นางไปปรางค์ทอง เมื่อทุกคนได้พบกันแล้ว
จอมกษัตริย์ก็ได้ตรัสเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
ท้าวทศวงศ์มีความสงสัยจึงตรัสถามอายุนางสุวรรณมาลี
ยุพยงทรงฟังรับสั่งถาม ให้เขินขามคิดพรั่นประหวั่นไหว
ไม่เคยปดอดสูอยู่ในใจ แข็งฤทัยทูลความไปตามเกิน
ชันษาข้ายี่สิบสี่เศษ เบญจเพสจึงต้องระหกระเหิน
อังคารเข้าเสาร์ทับแทบยับเยิน ให้เผอิญพรากพลัดพระภัสดา
ยังอยู่แต่แม่ลูกเป็นเพื่อนยาก กำจัดจากปิตุรงค์พระวงศา
แล้วเลี้ยวลดปดโป้ทำโศกา สะอื้นอ้อนอ่อนหน้าระอาอาย
ฯ
ท้าวทศวงศ์ขอให้นางสุวรรณมาลีอยู่รอท่าฟังข่าวพระอภัยที่เมืองรมจักร
แต่นางสุวรรณมาลีทูลตอบว่า ถ้าทำเช่นนั้นก็เหมือนเป็นหญิงทอดทิ้งผัว
จึงขอตามหาพระอภัยในทะเล ที่เข้าเมืองก็เพื่อมาประณตบทมาลย์ให้ท้าวทศวงศ์
และคณาญาติได้รู้จักราชนัดดาว่าเป็นหลาน แล้วจะรับออกติดตามหาพระอภัยต่อไป
ฝ่ายองค์อรุณรัศมี
ก็รักใคร่สนิทสนมกับสินสมุทอย่างสุจริตใจ
พอตกกลางคืนจึงแอบหนีมาพบพระเจ้าป้ากับพระเชษฐา ขอให้อยู่ตนอย่าไปไหน
นางสุวรรณมาลีจึงชวนให้เดินทางไปด้วยกัน นางก็ดีใจขอไปด้วย
ฝ่ายสามพราหมณ์วิเชียร โมรา และสานน
ได้รับแจ้งเหตุรบพุ่งในกรุงศรี แล้วข้าศึกจับจอมกษัตริย์ไปได้ก็ตกใจ
ต่างรับจัดพลได้คนละพัน แล้วรับยกมาเมืองรมจักร
เมื่อรู้ข่าวจากชาวเมืองแล้วก็คลายใจ แล้วเข้าไปเฝ้าพระศรีสุวรรณ
จอมกษัตริย์จึงฝากเมืองไว้ให้สามพราหมณ์ช่วยดูแล แล้วสั่งให้เกณฑ์กำปั่นหุ้มทอง
สองร้อยลำเตรียมออกเดินทางไปหาพระอภัย
ฝ่ายมหาเสนาปรีชาหาญ มาจัดการเกณฑ์กำปั่นเสียงหวั่นไหว
บ้างเปลี่ยนเสาเพลาสายระบายใบ มีธงชัยปักประจำเป็นสำคัญ
ที่ลำทรงธงทองขึ้นล่องฟ้า ปืนจังกาชะชับสลับลั่น
บรรจุพลคนประจำลำละพัน มาเรียงรันรอท่าอยู่หน้าวัง
ฯ
พระศรีสุวรรณได้ไปร่ำลานางเกษรา
ขอให้อยู่กับพระบิดา และเลี้ยงลูกเพราะพระองค์ต้องจากไปนับปี
นางเกษราวิงวอนขอติดตามไปด้วย
พระเสด็จไปไหนจะไปด้วย เป็นเพื่อนม้วยภูวไนยเหมือนใจหมาย
ถ้าทิ้งไว้ไหนน้องจะครองกาย เหมือนหญิงหม้ายมิได้พ้นคนนินทา
ถึงมิชั่วก็เหมือนชั่วเพราะผัวจาก เป็นหญิงยากจะไว้ตัวกลัวหนักหนา
ฯลฯ
พระศรีสุวรรณจึงปลอบนาง พร้อมกับให้เหตุผลว่า
ถึงร้อยปีพี่จะไปเสียจากน้อง ไม่ขุ่นข้องคิดอางขนางแหนง
อันทองคำธรรมชาติใช่ทองแดง ไม่เคลือบแฝงแคลงฝ้าเป็นราคี
ฯลฯ
ซึ่งนงลักษณ์จะใคร่ไปด้วยพี่ เกรงเป็นที่ครหาจะว่าขาน
ด้วยสตรีที่จะไม่มิใช่การ อันหนึ่งหลานพี่นางจะหมางใจ
จะว่ารักอัคเรศกว่าเชษฐา ไม่เคลื่อนคลาคลาดมิตรพิสมัย
ฯลฯ
อันทุกข์โศกโรคภัยในมนุษย์ ไม่รู้สุดสิ้นลงที่ตรงไหน
เหมือนกงเกวียนกำเกวียนเวียนระไว จงหักใจเสียเถิดเจ้าเยาวมาลย์
ฯลฯ
วันรุ่งขึ้นพระศรีสุวรรณก็ไปพบพี่สะใภ้แจ้งว่า
ได้ฤกษ์ดีที่จะออกเดินทาง แล้วงพากันไปทูลลาพระบิดามารดา นางอรุณรัศมีบอกว่าจะไป
พระอัยกาได้ห้ามปรามไว้ด้วยเกรงจะลำบาก แต่นางบอกว่าได้รับปากกับพระเจ้าป้าแล้ว
ถ้าไม่ไปด้วยก็เหมือนขี้ปด จะไปเป็นเพื่อนป้าช่วยหาลุง
สองกษัตริย์จะต้องผ่อนผันให้นางเดินทางไป
นางแก้วเกษราก็มีความอาลัย แต่เกรงใจพระเจ้าป้าไม่พาที
จากนั้นทั้งสามกษัตริย์ก็มาส่งที่ตำหนักแพ
แล้วลงเรือพระที่นั่งตามไปส่งสองกษัตริย์จนออกปากอ่าวที่กำปั่นใหญ่จอดอยู่
นางสุวรรณมาลีเชิญสามกษัตริย์ขึ้นชมกำปั่น
ขึ้นชมกำปั่นเป็นหลั่นลด มีเกวียนรถเตรียมไว้เครื่องใช้สอย
ทั้งอูฐลาม้าควายก็หลายร้อย เก๋ง น้อยน้อยนั่งเล่นเย็นเย็นใจ
มีไม้ดอกออกลูกปลูกริมตึก ดูครื้นครึกโสภาพฤกษาไสว
หญ้าฝรั่นจันทร์คณาหว้าลำไย ช่างปลูกไว้สารพัดเหมือนปัถพี
ฯลฯ
เมื่อสามกษัตริย์เดินทางกลับสี่กษัตริย์ก็ออกเดินทางไปกลางทะเล
ฝ่ายศรีสุวรรณวงศ์ทรงกำปั่น อยู่ห้องกั้นเก๋งสทุยท้ายบาหลี
เห็นพยับลับฟ้าเข้าราตรี พอลมดีเดือนสว่างกลางทะเล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น