ตอนที่ ๑๘ พระอภัยมณีโดยสารเรืออุศเรน
จะกล่างองค์อุศเรนเจนสมุทร ราชบุตรเจ้าลังภาษาสิงหล
คุมกำปั่นพันลำเที่ยวแล่นชล ตามตำบลเกาะแก่งทุกแขวงแคว
ไม่พบท้าวเจ้ากรุงผรึกราช ค่อยอ้อมหาดตะวันตกวกแฉว
ฯลฯ
อุศเรนตามหาอยู่สามเดือนก็ไม่พบ
ครั้นแล่นเรือมาใกล้เขามหิงสิงขรส่องกล้องดู
เห็นริ้วท่าธงปลิวสะบัดอยู่เห็นทีจะมีคนจึงให้แวะไปดู
กล่าวถึงพระอภัย
พำนักอยู่ที่มหิงสิงขรกับผู้คนอีกร้อยคนคอยท่าเภตราจรอยู่ห้าเดือน
ในวันนั้นได้แลเห็นเภตราในวารีต่างก็พากันมาเฝ้าดู
บ้างก็บนบานเจ้าอ่าวทะเลเทวดาขอให้เรือมาที่เขานี้
เรือลำของอุศเรนแล่นมาถึงหาดเห็นคนบนสิงขร
จึงจอดทอดสมอแล้วลงเรือเล็กพร้อมไพร่พลตีกรรเชียงเข้าสู่หาดทราย
เห็นองค์พระอภัยทรงเครื่องสวยงาม คิดว่าคงเป็นกษัตริย์มาแต่ไกล จึงตรัสถามไป พระอภัยตอบว่าพระองค์เป็นเจ้าบุรีรัตนา
ผีเสื้อพามาไว้ในสาคร แล้วเล่าความแต่หนหลังให้ฟังทั้งหมด
จากนั้นก็ขอโดยสารไปขึ้นฝั่ง เพื่อจะได้หาทางกลับไปเมืองต่อไปด้วย
อุศเรนได้ฟังแล้วก็คร่ำครวญถึงนางสุวรรณมาลีด้วยคิดว่านางคงสิ้นชีวิตแล้วจนล้มสลบไป
เมื่อช่วยกันแก้ไขให้ฟื้นขึ้นมาแล้วก็ได้ไต่ถาม นามกรกัน รวมทั้งบิดามารดานามธานี
แล้วจึงได้เล่าเรื่องเมืองผลึกที่จะจัดแต่งงานอภิเษก
พอดีนางสุวรรณมาลีมาหายไปกลางทะเล จึงออกติดตามมาสามเดือนแล้ว
แล้วถามว่าเมื่อเรือแตกแล้วพระอภัยยังได้ทราบความเป็นไปของนางสุวรรณมาลีว่าเป็นตายร้ายดีประการใด
พระอภัยได้ฟังเรื่องแล้วก็รู้ว่าอุศเรนจะเป็นคู่กับนางสุวรรณมาลี
และกำลังตามหานางอยู่ด้วยความอาวรณ์ก็นึกสงสาร เห็นว่า
พระองค์ไม่ควรชิงพระธิดามาเป็นของตนและคิดจะผูกไมตรีกับอุศเรนไว้
จึงมิได้กล่าวคำให้เป็นที่ระคายเคือง จึงแจ้งแก่อุศเรนว่าเมื่อโดยสารเรือมาตนเป็นดาบสอยู่ท้ายเรือ
ส่วนนางอยู่กลางเรือ จึงไม่รู้เรื่องกัน แล้วแนะนำให้อุศเรนหาโหรมาทำนาย
โหรจับยามตามโฉลก อุษาโยคยามจันทร์เจ็ดชั้นฉาย
ลงเลขลัพท์ขับไล่ยังไม่ตาย จึงทูลทายว่าข้าเห็นไม่เป็นไร
พระบุตรีมีผู้จะชูช่วย ไม่มอดม้วยมรณาอย่าสงสัย
อยู่ทางทิศอีสานสำราญใจ แม้ตามไปก็จะพบประสบกัน
ฯ
อุศเรนได้ฟังคำทำนายก็คลายใจ
แล้วเชิญพระอภัยร่วมเรือกับตนเที่ยวติดตามหาพระธิดาต่อไป
บอกว่าพระอภัยแก่ชันษากว่าตนก็ขอให้เป็นพี่น้องกัน
แล้วพากันลงเรือแต่ออกเรือไม่ได้ แม้จะให้ไพร่พลลงลากจนเชือกขาดเรือก็ยังคงติดอยู่
ทั้งนี้เนื่องจากผีเสื้อที่ตายไปแล้วบันดาลให้เรือติด เมื่อสอบถามความจากผู้เฒ่า
ก็ได้รับคำตอบว่า ผีเสื้อยุดเรือไว้ ขอให้พระองค์เสด็จขึ้นฝั่ง
ไปสั่งสารยักษ์ที่ตายให้นางสิ้นอาลัย
พระอภัยจึงไปบอกกล่าวแก่ศพนางผีเสื้อที่เป็นหิน ครวญคร่ำรำพันถึงนางจนสลบไป
เมื่อแก้ไขให้ฟื้นแล้วอุศเรนก็สั่งให้ทำโรงร่มบังซากผีเสื้อเอาไว้ แล้วจึงออกเรือ
แล่นไปทางทิศอีสาน
จะกล่าวถึงกำปั่นสินสมุทกับนางอรุณรัศมี
พร้อมทั้งองค์สุวรรณมาลีกับกษัตริย์ศรีสุวรรณแล่นมาในทะเล
เที่ยวค้นหาทั่วทุกเกาะแก่ง ก็ไม่พบองค์พระอภัย
นางอรุณรัศมีกับสินสมุทต่างก็สนุกสนานมาในเรือ
พอตกกลางคืนพี่น้องสองกุมารก็บรรทมกับมารดา พระชนนีชี้ชวนชมดาราให้หลานรู้จักไว้
ดูโน่นแน่แม่อรุณรัศมี ตรงมือชี้ดาวเต่านั่นดาวไก่
โน่นดาวธงตรงหน้าอาชาไนย ดาวลูกไก่เคียงอยู่เป็นคู่กัน
องค์อรุณทูลถามพระเจ้าป้า ที่ตรงหน้าดาวไถชื่อไรนั่น
นางบอกว่าดาวธงอยู่ตรงนั้น ที่เคียงกันเป็นระนาวชื่อดาวโลง
แม้นดาวกามาใกล้ในมนุษย์ จะม้วยมุดมรณาเป็นห่าโหง
ดาวดวงลำสำเภามีเสากระโดง สายระโยงระยางหางเสือยาว
นั้นแน่แม่ดูดาวจระเข้ ศีรษะเร่หกหางขึ้นกลางหาว
ดาวนิดทิศพายัพดูวับวาว เขาเรียกดาวยอดมหาจุฬามณี
โน่นดาวคันชั่งช่วงดวงสว่าง ที่พราวพร่างพรายงามดาวหามผี
หน่อนรินทร์สินสมุทกับบุตรี เฝ้าเซ้าซี้ซักถามตามสงกา
พระชนนีชี้แจงให้แจ้งจิต อยู่ตามทิศทั่วไปในเวหา
ฯลฯ
กำปั่นของพระศรีสุวรรณซึ่งเป็นกองหลังได้แล่นมาถึงชวากปากน้ำสำปะหลัง
ไม่เข้าฝั่งคัดทางไปข้างขวา ได้เห็นสำเภาของชาวลังกาอยู่แต่ไกล
กองนำลำทรงของสินสมุทสั่งให้จุดฟืนไฟ
เมื่อกำปั่นลำทรงของศรีสุวรรณขึ้นมาทันจึงกล่าวว่า
เขาแล่นมาถ้าเราแล่นไปมั่ง จะคับคั่งเคืองใจไม่พอที่
ทอดสมอรอเรียงอยู่เพียงนี้ ดูท่วงทีท่าท่างเป็นอย่างไร
แล้วยิงปืนปากปลาสัญญาหยุด อุตลุดหลีกกันเสียงหวั่นไหว
ทอดสมอรอหมดแล้วลดใบ กำปั่นใหญ่อยู่กลางขวางคงคา
ฯ
ฝ่ายกองทัพอุศเรนเห็นกำปั่นจอดเรียงรายอยู่ข้างหน้า จึงยิงปืนเป็นสัญญา
จะรอราหน้าหลังตั้งกระบวน แลเห็นกำปั่นใหญ่ เห็นว่าจะจาบจ้วงไปนั้นไม่ควร
ถ้าเกิดรบกันจะอับจน ด้วยเห็นผิดเพศพาณิชก็คิดสงสัยว่า
จะเป็นโจรสลัดมาเที่ยวปล้นเรือพวกพ่อค้า หรือว่าเป็นกษัตริย์
เมื่อรู้ว่าเป็นอะไรแล้วก็จะได้เป็นไมตรี
แล้วให้นายทหารลงเรือเร็วไปยังทัพใหญ่ของอีกฝ่ายหนึ่ง บอกว่าตนเป็นทูตมาถามว่า
นายเรือเป็นกษัตริย์หรือว่าเป็นนายพานิช สินสมุทจึงถามว่า ผู้ใดใช้มา
นายของท่านมีนามใด นายทหารที่เป็นทูตมาก็แจ้งว่า
นายของตนเป็นราชโอรสเจ้าชาวลังกามีนามว่า อุศเรน มาแต่งงานกับราชธิดาเจ้าเมืองผลึก
แต่เจ้าเมืองผลึกกับพระธิดาหายไป จึงเที่ยวตามหาในท้องทะเล เมื่อมาพบพวกพระองค์ก็สงสัย
จึงหยุดยั้งขบวนเรือไว้แล้วใช้ให้ตนมาถาม
สินสมุท ทราบความแล้วก็รู้ว่าลูกเจ้าลังกา
จะมาแต่งงานกับมารดาของตนก็โกรธ
จึงบอกไปว่าเจ้ากรุงผลึกไม่ได้คิดจะผูกรักสมัครสมานด้วย
จึงได้ยกพระธิดาให้พระบิดาของตน ขณะนี้มารดาของตนก็อยู่กับตน ให้กลับไปบอกเจ้านายของทูตว่า
อย่าคิดติดตามพระธิดาอีก ถ้ารักตัวกลัวตายก็ให้กลับลังกาเสีย
ฝ่ายฝรั่งนายทหารที่เป็นทูตก็ลากลับไป สินสมุทก็ไปหาแม่เลี้ยง
เล่าความให้ฟัง นางได้ฟังแล้วก็ตกใจ บอกว่าความฉาวแล้วคราวนี้
เมื่อปกปิดมิให้ผู้ใดแจ้ง มาพรายแพร่งเสียเพราะพ่อไม่พอที่
จะนิ่งไว้ในอุราว่าไม่ดี ความเช่นนี้หรือไปเล่าให้เขาฟัง
เขารู้แน่ว่าแม่ยังเป็นสาว จะว่ากล่าวลวนลามถึงความหลัง
ถ้าทราบถึงพระเจ้าอาก็น่าชัง ด้วยปิดบังมิได้บอกออกให้รู้
ถึงกระไรให้พบกับปิตุเรศ พระโปรดเกศก็จะได้ไม่อดสู
นี่พ่อมาบอกให้อ้ายศัตรู มันล่วงรู้ความลับน่าอับอาย
ฯลฯ
สินสมุทได้ฟังแล้ว
จึงพูดบ่ายเบี่ยงว่า เขาจะพาแม่ไปแต่งงาน ตนจึงเดือดดาลและว่าไปให้สาใจ
แล้วได้พูดเป็นเชิงน้อยใจ นางสุวรรณมาลีจึงแกล้งพูดลองใจว่า
จะไปอยู่กับลูกเจ้าลังกา สินสมุทก็พูดค่อนว่าเหน็บแนม ในที่สุดนางสุวรรณมาลีก็ชวนสินสมุท
ออกมานั่งบัลลังก์นอก อันเป็นที่ออกว่าการ พอพระอามาถึง
นางก็เชิญให้นั่งบัลลังก์รัตน์
ฝ่ายนายทหารฝรั่งลังกา
ก็มาเฝ้าอุศเรนทูลแจ้งว่า นายกำปั่นเป็นคนไทย อายุราวเก้าปี ได้บอกว่าชื่อ สินสมุท
เป็นราชบุตรพระธิดา ตอนนี้นางก็อยู่บนเรือใหญ่นั้น
พระเจ้ากรุงผลึกได้ประทานนางให้บิดาของตน
อุศเรนรู้เรื่องแล้ว ก็เคืองแค้นยิ่งนัก
คิดจะแก้เผ็ดศัตรู จึงถามว่าได้เห็นผัวของนางหรือไม่ อำมาตย์ทูลตอบว่า
มิได้เห็นก็ยิ่งโกรธ บอกว่าจะจับเป็นแล่เนื้อเอาเกลือทา
จากนั้นก็เชิญพระอภัยมณีมานั่งร่วมอาสน์ แล้วขอคำปรึกษา พระอภัยได้ยินชื่อสินสมุท
ก็รู้ว่าเป็นบุตร แต่จะบอกไปตามจริงก็กริ่งใจว่า ถ้าไม่ใช่ลูกก็น่าอาย
จึงคิดจะไปดูให้รู้แน่ จึงนิ่งนึกหา
อุบายให้แยบแคบ
แล้วจึงกล่าวห้าม
แต่นิ่งนึกตรึกตราหาอุบาย ให้แยบคายแล้วจึงห้ามตามโบราณ
เป็นไรมีที่ตรงเข้ายงยุทธ์ การบุรุษรู้สิ้นทุกถิ่นฐาน
อันแยบยลกลศึกสี่ประการ เป็นประธานที่ใฝ่กายของนายทัพ
ประการหนึ่งถึงจะโกรธพิโรธร้าย หักให้หายเหือดไปเหมือนไฟดับ
ค่อยคิดอ่านการศึกให้ลึกลับ แม้นจะจับก็ให้มั่นคั้นให้ตาย
อนึ่งว่าข้าศึกยังฮึกฮัก จะโหมหักเห็นไม่ได้ดังใจหมาย
สืบสังเกตเหตุผลกลอุบาย ดูแยบคายคาดทั้งกำลังพล
อนึ่งให้รู้รบที่หลบไล่ ทหารไม่เคยศึกต้องฝึกฝน
ทั้งถ้อยคำสำหรับบังคับคน อย่าเวียนวนวาจาเหมือนงาช้าง
ประการหนึ่งซึ่งจะชนะศึก ต้องตรองตรึกยักย้ายได้หลายอย่าง
ดูท่วงทีกิริยาในท่าทาง อย่าละวางไว้ใจแก่ไพรี
ฯลฯ
แล้วพระอภัย
ก็ขออาสาเป่าปี่ห้ามปราบตามวิชา ให้ไพร่พลอ่อนใจ จากนั้นก็จะเรียนนายสลุปใหญ่
ให้มาหาจะได้ไต่ถามถึงพระธิดา
อุศเรน เห็นด้วยตามคำของพระอภัย
แล้วบอกว่าจะขอแต่พระธิดาแล้วจะได้กลับไปลังกา ไม่ต้องรบกัน
จากนั้น พระอภัยก็เอาปี่มาเป่ามีเนื้อความไต่ถามความ
แล้วบอกว่าถ้านางสุวรรณมาลีกับสินสมุทในเรือกำปั่นจริง ก็ขอให้มาหาตน
อุศเรนกับทหารในกองทัพ
ได้ยินเพลงปี่ก็หลับไป ส่วนพวกพ้องของพระอภัยเคยเข้าใจเรื่องนี้มาก่อน
จึงพากันอุดหู ไม่ให้ได้ยินเพลงปี่ กองทัพสินสมุทแม้อยู่ห่างไกลออกไป
เมื่อได้ยินเสียงเพลงปี่ ก็หลับไปบ้าง ฟังไปบ้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น