วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ตอนที่ ๑ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา

ตอนที่ ๑ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา

           แต่ปางหลังยังมีกรุงกษัตริย์
         สมมติวงศ์ทรงนามท้าวสุทัศน์ ผ่านสมบัติรัตนานามธานี
       อันกรุงไกรใหญ่ยาวเก้าสิบโยชน์ ภูเขาโขดเป็นกำแพงบูรีศรี
          สะพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชาชี ชาวบุรีหรรษาสถาวร
           มีเอกองค์นงลักษณ์อัครราช พระนางนาฏนามปทุมเกสร
             สนมนางแสนสุรางคนิกร ดังกินนรน่ารักลักขณา
        มีโอรสสององค์ล้วนทรงลักษณ์ ประไพพักตร์เพียงเทพเลขา
                 ชื่ออภัยมณีเป็นพี่ยา พึ่งแรกรุ่นชันษาสิบห้าปี
         อันกุมารศรีสุวรรณนั้นเป็นน้อง เนื้อดังทองนพคุณจำรูญศรี
           พึ่งโสกันต์พรรษาสิบสามปี พระชนนีรักใคร่ดังนัยนา
          สมเด็จท้าวบิตุรงค์ดำรงราชย์ แสนสวาทลูกน้อยเสน่หา
         จะเสกสองครองสมบัติขัตติยา แต่วิชาสิ่งใดไม่ชำนาญ
            จึงดำรัสตรัสเรียกโอรสราช มาริมอาสน์แท่นสุวรรณแล้วบรรหาร
          พ่อจะแจ้งเจ้าจงจำคำโบราณ อันชายชาญเชิ้อกษัตริย์ขัตติยา
      ยอมพากเพียรเรียนไสยศาสตร์เวท สิ่งวิเศษสืบเสาะแสวงหา
             ได้ป้องกันอันตรายนครา ตามกษัตริย์ขัตติยาอย่างโบราณ
           พระลูกรักจักสืบวงศ์กษัตริย์ จงรีบรัดเสาะแสวงแหล่งสถาน
          หาทิศาปาโมกข์ชำนาญชาญ เป็นอาจารย์พากเพียรเรียนวิชา ฯ
            
         เมื่อพี่น้องสองราชกุมารได้รับทราบแล้วก็ขอลาพระราชบิดาและพระราชมารดาไปตามพระราชประสงค์ กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ก็ได้ทรงสั่งสอนว่า
            จะเดินทางกลางป่าพนาดร จงผันผ่อนตรึกจำคำโบราณ
            จะพูดจาสารพัดบำหยัดยั้ง จนลุกนั่งน้ำท่ากระยาหาร
        แม้นหลับนอนผ่อนพ้นที่ภัยพาล อดบันดาลโกรธขึ้งจึงสบาย
            
            ทั้งสองราชกุมารได้เดินทางไปในป่าได้สิบห้าวันก็มาถึงตำบลหนึ่งเรียกว่า บ้านจันตคาม มีทิศาปาโมกข์อยู่สองคน คนหนึ่งชำนาญในการยุทธ เมื่อมีอาวุธซัดมาดังห่าฝน ก็สามารถรำกระบองป้องกันไม่ให้อาวุธต้องกายตนได้ อีกคนหนึ่งชำนาญในการปี่ และการดีดสีได้ไพเราะอย่างยิ่ง ผู้ใดได้ฟังก็จะเคลิ้มหลับลืมกายดังวายปราณ 
            อาจารย์ทั้งสองได้เขียนหนังสือไว้ที่หน้าบ้านว่า ผู้ใดต้องการเรียนวิชาของตนจะต้องมีทองแสนตำลึงมาให้ เมื่อทั้งสองราชกุมารทราบความแล้ว ก็ตกลงใจที่จะเรียนวิชากับอาจารย์ทั้งสอง โดยที่ศรีสุวรรณรักที่จะเรียนวิชารำกระบอง ส่วนพระอภัยมณีรักที่จะเรียนวิชาเพลงดนตรี โดยเอาธำมรงค์ที่ใส่นิ้วมา ตีราคาแสนตำลึงทอง เป็นค่าเล่าเรียน 
            ฝ่ายอาจารย์ของพระอภัยพาพระอภัยไปยอดเขาให้เป่าปี่ใช้เวลาประมาณเจ็ดเดือนก็เรียนจบ
         สิ้นความรู้ครูประสิทธิ์ไม่ปิดบัง จึงสอนสั่งอุปเท่ห์เป็นเล่ห์กล
            ถ้าแม้นว่าข้าศึกมันโจมจับ จะรบรับสารพัดให้ขัดสน
             เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคน ด้วยเล่ห์กลโลกาห้าประการ
          คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร
        ให้ใจอ่อนนอนหลับดังวายปราณ จึงคิดอ่านเอาชัยเหมือนใจจง
         ฯลฯ
            
แล้วอาจารย์ก็คืนแหวนให้พระอภัย แล้วบอกว่าที่ตั้งราคาไว้แสนตำลึงทองนั้น ก็ป้องกันมิให้ไพร่ได้วิชา ต่อเมื่อเป็นกษัตริย์หรือเศรษฐีจะสามารถศึกษาวิชานี้ได้ 
            ฝ่ายศรีสุวรรณได้ศึกษากลอาวุธจนสิ้นความรู้ของอาจารย์ แล้วอาจารญืก็คืนแหวนให้และบอกปริศนาไขข้อความเช่นเดียวกับอาจารย์ของพระอภัย ทั้งสองราชกุมารก็เดินทางกลับกรุงรัตนาเข้าเฝ้าพระราชบิดา แจ้งผลการศึกษาของตนให้ทรงทราบ ท้าวสุทัศน์ได้ทรงทราบแล้วก็ทรงพิโรธ เห็นว่าวิชชาที่เรียนมานั้นไม่สมควรแก่ราชกุมาร ออกปากขับไล่ไปเสียจากเมือง 
            ฝ่ายสองราชกุมารได้รับความอัปยศอดสู จึงพากันออกจากเมืองเข้าสู่ป่า แล้วหารือกันถึงความยากลำบากที่จะประสบต่อไปในอนาคต พระอนุชาได้กล่าวแก่พระเชษฐาว่า
 
              พระอนุชาว่าพี่นี้ขี้ขลาด เป็นชายชาติช้างงาไม่กล้าหาญ
            แม้นชีวันยังไม่บรรลัยลาญ ก็เซซานซอกซอนสัญจรไป
        เผื่อพบพานบ้านเมืองที่ไหนมั่ง พอประทังกายาอยู่อาศัย
            มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี
           ฯลฯ
            
จากนั้นทั้งสองกุมารก็ปลอมตนเป็นสามัญชน เดินทางไปในป่าได้เดือนเศษ มาถึงเนินทรายชายทะเล ก็หยุดพักผ่อนอยู่ ณ ที่นั่น 
            กล่าวถึงบุตรพราหมณ์สามมาณพเป็นสหายกัน คนหนึ่งชื่อ โมรา มีวิชาเอาหญ้ามาผูกเป็นสำเภายนต์ แล่นไปบนดินได้ คนหนึ่งชื่อ สานน มีวิชาเรียกลมฝนได้  คนหนึ่งชื่อ วิเชียร  มีวิชาใช้ธนูสามารถยิ่งออกไปได้ทีละเจ็ดลูก จะให้ถูกตรงไหนก็ได้ทั้งสิ้น ทั้งสามมาณพได้มาพบสองราชกุมารที่เนินทรายชายทะเลดังกล่าว ได้ทำความรู้จักและไต่ถามวิชาความรู้ซึ่งกันและกัน เป็นที่เข้าใจกันดี ยกเว้นวิชาเป่าปี่ของพระอภัย ว่าจะมีคุณประการใด พระอภัยจึงอธิบายให้ฟัง
  
    พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข
            อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์
               ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช จตุบาทกลางป่าพนาสิณฑ์
              แม้ปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา
             ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา
              ฯลฯ
     
แล้วพระอภัยก็เป่าปี่ให้คนทั้งหมดฟัง  มีความว่า
  
        ในเพลงปี่ว่าสามเจ้าพราหมณ์เอ๋ย ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย
                ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย
            
คนทั้งหมดได้ฟังแล้วก็พากันหลับไป
กลับหน้าหลัก                           ถัดไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น